• หน้าแรก
  • บทความ
  • ถมดินกี่ปีถึงสร้างบ้านได้ เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงจากทีมงาน

ถมดินกี่ปีถึงสร้างบ้านได้ เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงจากทีมงาน

หัวข้อน่าสนใจ

ถมดินกี่เดือนสร้างบ้านได้

หลายคนอาจเคยได้ยินมาว่า “ถมดินต้องรอให้ดินเซ็ตตัวก่อนถึงจะสร้างบ้านได้” แต่สงสัยไหมว่าจริง ๆ แล้วต้องรอกี่ปี? บางคนบอก 6 เดือนก็พอ บางคนบอก 1 ปีกำลังดี แต่บางคนอาจรอกันยาว ๆ ถึง 2 ปีก็มี แล้วความจริงคืออะไรกันแน่? วันนี้ รับถมที่ดินราคาถูกที่สุด.com จะมาเล่าประสบการณ์ตรงจากหน้างาน แถมอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลจริงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างเห็นภาพและวางแผนการสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นทรุดทีหลัง

ทำความรู้จักกับการถมที่ดินเบื้องต้น

การถมที่ดิน (Land Filling) คือการนำดินหรือวัสดุอื่น ๆ เช่น ทราย ดินลูกรัง ดินดำ ฯลฯ มาถมลงบนพื้นที่ที่ต้องการ เพื่อยกระดับของพื้นที่ให้สูงขึ้น หรือปรับระดับให้เหมาะสมกับการก่อสร้างหรือการใช้งานอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งในประเทศไทย พื้นที่หลายจังหวัดก็มักมีลักษณะดินที่อาจเป็นดินอ่อน หรือมีน้ำใต้ดินสูง หากปล่อยให้สภาพดินเป็นอย่างนั้นแล้วสร้างบ้านทันที อาจเกิดปัญหาทรุดตัว ทำให้บ้านเอียง บ้านร้าว ได้ง่าย

ส่วนใหญ่แล้ว วิธีถมดิน ที่นิยมมากในบ้านเรา คือการขนดินจากพื้นที่อื่นที่ไม่มีการปนเปื้อน หรือเป็นดินที่เหมาะสม (เช่น ดินที่ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีของเสียอันตราย) มาถมลงพร้อมกับการบดอัด หรือปล่อยให้ดินนอนตัวเองไปสักระยะ ทำให้ดินเริ่มเซ็ตตัวจนได้ความแน่นที่เหมาะกับการสร้างบ้าน แต่การ “ปล่อยให้ดินเซ็ตตัว” นี่แหละ ที่หลายคนสงสัยว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร เราจะเจาะลึกในหัวข้อนี้กันไปตามประสบการณ์แบบชาวบ้าน ๆ แต่มีข้อมูลอ้างอิงจริง เพื่อให้คุณได้วางแผนสร้างบ้านอย่างมั่นใจ

เหตุผลหลักว่าทำไมต้องรอให้ดินเซ็ตตัว

  1. การทรุดตัวของดินตามธรรมชาติ
    ตามหลักวิศวกรรมแล้ว ดินทุกชนิดจะมีการทรุดตัว (Settlement) เมื่อโดนน้ำหนักกดทับหรือเมื่อมีการระเหยของน้ำในดิน การถมดินใหม่ยิ่งถมสูง ก็ยิ่งมีน้ำหนักมาก ฉะนั้นพื้นดินด้านล่างก็จะค่อย ๆ ทรุดหรือตัวลงตามไปด้วย ถ้าเรารีบสร้างบ้านทันทีหลังถม อาจทำให้โครงสร้างบางส่วนไม่ได้ระดับ สุดท้ายเกิดร้าวหรือแอ่นในอนาคต

  2. การปรับสมดุลความชื้น
    ดินที่นำมาถมใหม่บางครั้งอาจมีความชื้นสูงเกินไป หรือบางครั้งอาจแห้งเกินไป เมื่อเจอฝนหรือน้ำใต้ดิน ก็จะเกิดการปรับสมดุลความชื้นในดิน กระบวนการนี้ต้องใช้เวลา บางพื้นที่ 3-6 เดือน บางพื้นที่ 1 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของดินและระดับน้ำใต้ดินในพื้นที่

  3. ลดปัญหาการทรุดตัวที่ส่งผลต่อโครงสร้างอาคาร
    หากให้ดินได้เซ็ตตัวเต็มที่ตามระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการทรุดตัวเฉพาะจุด (Differential Settlement) ที่ทำให้บ้านหรืออาคารเกิดรอยร้าว หรืออาจถึงขั้นโครงสร้างเอียงได้นั่นเอง

  4. เพื่อการคำนวณโครงสร้างที่แม่นยำ
    วิศวกรจะต้องคำนวณข้อมูลต่าง ๆ เช่น ค่าการรับน้ำหนักของดิน ความหนาแน่นของดิน ค่า bearing capacity ของดิน เป็นต้น หากรอให้ดินเซ็ตตัวสักระยะ ข้อมูลก็จะใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น ทำให้การออกแบบฐานรากทำได้อย่างถูกต้องและแข็งแรง

ข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับเวลารอให้ดินเซ็ตตัว

ข้อมูลจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง (DPT) และบทความวิชาการของ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า หากเป็นดินถมทั่วไปที่ผ่านการบดอัด และเป็นดินที่เหมาะสมกับการถม (เช่น ดินลูกรัง) จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ในการเซ็ตตัวให้แน่นพอสำหรับการก่อสร้างบ้านพักอาศัย แต่ถ้าเป็นพื้นที่ดินอ่อน ร่องน้ำ หรือต้องถมดินสูงมากกว่า 2 เมตร อาจต้องรอนาน 1-2 ปีหรือมากกว่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทีมงาน รับถมที่ดินราคาถูกที่สุด พบว่าในบางโครงการที่เราทำการถมดินสูงไม่เกิน 1 เมตร และอยู่ในพื้นที่ที่ระบายน้ำได้ดี การรอประมาณ 6 เดือน ก็เพียงพอให้ดินแน่นจนวางฐานรากได้แล้ว แต่ในขณะที่บางโครงการถมสูง 2 เมตรขึ้นไป หรือต้องถมทับบริเวณที่เป็นบ่อเก่าหรือร่องสวนเดิม จะพบว่ายังเกิดการทรุดตัวต่อเนื่องได้ถึง 1-2 ปี หรือบางครั้งเกินกว่านั้น ฉะนั้น เวลาที่ดีที่สุดต้องขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่จริงและชนิดดินเป็นหลัก

สรุปสั้น ๆ: ถมดินกี่ปีถึงสร้างบ้านได้?

  • ถมดินสูงไม่เกิน 1 เมตร

    • ระยะเวลารอ: 6 เดือนถึง 1 ปี (ปกติ 6 เดือนก็พอ แต่ถ้าต้องการความแน่นสูง อาจรอถึง 1 ปี)
    • เหมาะกับ: พื้นที่มีโครงสร้างดินแข็ง (ดินเดิมที่ไม่อ่อนจนเกินไป), ระบบระบายน้ำดี
  • ถมดินสูงกว่า 1 เมตร แต่ไม่เกิน 2 เมตร

    • ระยะเวลารอ: 1 ปีเป็นอย่างน้อย อาจยาวนานได้ถึง 2 ปีในพื้นที่ดินอ่อน
    • เหมาะกับ: บ้านพักอาศัยทั่วไป, อาคารขนาดเล็ก แต่ต้องพิจารณาดินฐานล่างด้วย
  • ถมดินสูงเกิน 2 เมตร หรือพื้นที่ดินอ่อนมาก (ร่องสวน บ่อน้ำเดิม)

    • ระยะเวลารอ: 1-2 ปี หรืออาจต้องใช้วิธีเสริมฐานราก เช่น ตอกเสาเข็มลึก หรือทำเสาเข็มชนิดพิเศษ
    • เหมาะกับ: ต้องการยกระดับพื้นที่ให้สูงมาก เช่น ปลูกบ้านชั้นเดียวในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก หรือทำโครงการขนาดใหญ่
  • วิธีเร่งการทรุดตัวด้วยเทคนิคพิเศษ

    • หากจำเป็นต้องสร้างบ้านเร็ว ๆ มีเทคนิคบางอย่างที่วิศวกรเสนอ เช่น Preloading (ถมดินเพิ่มน้ำหนักล่วงหน้า) และ Prefabricated Vertical Drain (PVD) เพื่อเร่งให้ดินไล่น้ำออก ทรุดตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งต้องปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการรอให้ดินเซ็ตตัว

แม้จะมีคำแนะนำคร่าว ๆ เกี่ยวกับระยะเวลารอ แต่ในสถานการณ์จริง ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้การตัดสินใจ “กี่ปีถึงสร้างบ้านได้” แตกต่างกันไป มาดูปัจจัยหลัก ๆ ที่ควรรู้ก่อนถมดินกัน

ชนิดของดินที่นำมาถม

  1. ดินลูกรัง (Lateritic Soil)

    • มีส่วนผสมของลูกรังและหินกรวดเล็ก ๆ
    • บดอัดได้แน่นดี ระบายน้ำได้ค่อนข้างดี
    • เหมาะสำหรับการถมเพื่อปลูกบ้าน เพราะเซ็ตตัวไว หากบดอัดถูกวิธี อาจรอ 6 เดือนก็พอ
  2. ดินดำ (Topsoil)

    • เป็นดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง ระบายได้บ้าง แต่ถ้าผสมน้ำเหนียว ๆ จะทำให้การบดอัดไม่ดีเท่าที่ควร
    • ช่วงแรก ๆ อาจจะมีการยุบตัวได้มากกว่า ควรรออย่างน้อย 6-12 เดือน
  3. ดินเหนียว (Clay)

    • ถือเป็นดินที่ระบายน้ำยาก มีโอกาสหดตัวและขยายตัวมาก
    • หากเป็นดินเหนียวล้วน ๆ ควรผสมกับทรายหรือลูกรังเพื่อให้ได้การบดอัดที่ดีกว่า
    • อาจต้องรอเกิน 1 ปี ขึ้นอยู่กับความหนาและระดับน้ำใต้ดิน
  4. ทราย (Sand)

    • ทรายระบายน้ำได้ดี แต่หากถมทรายล้วน ๆ อาจต้องบดอัดให้ดี และเลือกใช้ทรายที่สะอาด
    • โดยทั่วไปทรายไม่ค่อยยุบตัวมาก จึงรอน้อยกว่าดินประเภทอื่น แต่ก็มีต้นทุนค่อนข้างสูง
  5. ดินผสม (Mixed Soil)

    • มักเป็นดินที่ได้จากการขุดเจาะหรือเกลี่ยที่ผสมระหว่างดินเหนียว ดินทราย หรือหินลูกรัง
    • ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการผสม ถ้าได้สัดส่วนดีและบดอัดแน่น อาจรอไม่เกิน 6 เดือน – 1 ปี

จากประสบการณ์ของทีม รับถมที่ดินราคาถูกที่สุด.com เราพบว่า “ดินลูกรัง” เป็นที่นิยมมากในการ ถมดินสร้างบ้าน เพราะสามารถหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพงจนเกินไป (ขึ้นอยู่กับระยะทางขนส่ง) และที่สำคัญคือสามารถบดอัดให้แน่นได้เร็ว เหมาะกับคนที่ต้องการสร้างบ้านในเวลาที่ไม่อยากรอนานเกินไป

สภาพพื้นที่เดิมก่อนถมดิน

  • พื้นที่ดินอ่อนหรือเป็นบ่อน้ำเก่า

    • ดินใต้บ่อหรือร่องสวนมักจะมีความอ่อนตัวสูง และอาจมีวัชพืชหรือซากพืชหมักหมมอยู่
    • เมื่อถมดินลงไป น้ำหนักจะทำให้ดินก้นบ่อทรุดตัวได้มาก จึงต้องรอนานขึ้น หรืออาจเสริมฐานรากด้วยเข็มเจาะ
  • พื้นที่หน้าดินเดิมแข็ง

    • ถ้าเดิมเป็นพื้นที่แข็ง หรือมีการถมมาแล้วบางส่วน การรอให้ดินใหม่เซ็ตตัวอาจน้อยลงกว่าพื้นที่ดินอ่อน
  • ระดับน้ำใต้ดิน

    • หากพื้นที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง (เช่น พื้นที่ลุ่มหรือใกล้แหล่งน้ำ) ดินจะอุ้มน้ำได้มาก ทำให้ต้องใช้เวลารอเซ็ตตัวนานขึ้น
  • การบดอัดหรือปล่อยดินเอง

    • ถ้ามีการใช้เครื่องจักรหรืออุปกรณ์บดอัดอย่างถูกวิธี จะช่วยลดเวลาการรอให้ดินเซ็ตตัว แต่ถ้าแค่ถมแล้วปล่อยให้น้ำหนักดินกดเองตามธรรมชาติ ก็อาจต้องรอนานขึ้น

เทคนิคการถมดินและการเร่งให้ดินเซ็ตตัวเร็วขึ้น

สำหรับคนที่ไม่อยากรอ “ถมดินกี่ปีถึงสร้างบ้านได้” นานเกิน หรืออาจมีแผนเร่งสร้างบ้านเพราะเหตุจำเป็น (เช่น หมดสัญญาเช่า ต้องรีบย้ายบ้าน ฯลฯ) สามารถใช้เทคนิคบางอย่างเพื่อช่วยให้ดินเซ็ตตัวเร็วขึ้น หรือสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องกลัวทรุดตัวมาก มาดูกันว่าในวงการก่อสร้างบ้านมีวิธีใดบ้าง

การบดอัดเป็นชั้น (Layer Compaction)

  • ขั้นตอน: แบ่งการถมดินเป็นชั้น ๆ (เช่น ชั้นละ 30-50 ซม.) แล้วใช้เครื่องบดอัด (Compactor) ทำให้แน่นในแต่ละชั้น ก่อนถมชั้นต่อไป
  • ข้อดี: ช่วยลดการยุบตัวในภายหลัง เพราะดินถูกอัดแน่นตั้งแต่ช่วงแรก ๆ
  • ข้อเสีย: ใช้เวลาและแรงงานมากขึ้น ค่าใช้จ่ายอาจสูงขึ้น

ใช้ดินหรือวัสดุถมที่เหมาะสม

  • ดินลูกรัง + หินคลุก: ได้รับความนิยมเพราะหาง่าย บดอัดได้แน่น ราคาถูกกว่าทราย
  • ทราย: ระบายน้ำได้ดีมาก การทรุดหลังถมค่อนข้างต่ำ แต่ราคาสูง
  • หินคลุก: ให้ความแน่นสูง แต่อาจต้องระวังเรื่องการระบายน้ำและการผสมดินด้านบน

การเลือกใช้วัสดุถมที่ดีจะช่วยลดเวลารอได้มาก เพราะหากดินแน่นเร็ว ก็ปลูกสร้างได้เร็ว

การทำ Preloading (การถมดินให้สูงเกินจริงล่วงหน้า)

  • หลักการ: ถมดินสูงกว่าระดับที่จะใช้จริง (เช่น ต้องการถม 1 เมตร ก็ถมล่วงหน้าไป 1.5-2 เมตร) เพื่อให้ดินด้านล่างรับน้ำหนักมากกว่าปกติ ดินก็จะทรุดตัวไปก่อน
  • ขั้นตอน: รอจนดินเซ็ตตัวในระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 6-12 เดือน) แล้วค่อยขูดดินส่วนเกินออกจนได้ระดับที่ต้องการ
  • ข้อดี: เร่งการทรุดตัวให้เกิดขึ้นก่อนจะสร้างอาคารจริง
  • ข้อเสีย: สิ้นเปลืองวัสดุถมในช่วงแรก และต้องเสียค่าใช้จ่ายขนดินส่วนเกินออก

Prefabricated Vertical Drain (PVD)

  • หลักการ: ติดตั้งวัสดุเป็นท่อระบายตั้งแต่ผิวดินลงไปถึงชั้นดินอ่อนด้านล่าง เพื่อให้น้ำในดินถูกรีดออกมาเร็วขึ้น ลดระยะเวลาทรุดตัว
  • ข้อดี: เหมาะสำหรับพื้นที่ดินอ่อนหรือถมสูง ลดเวลาได้มาก
  • ข้อเสีย: มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญติดตั้ง

การตอกเสาเข็มลึกหรือลงเข็มเจาะ (สำหรับฐานรากบ้าน)

  • หากจำเป็นต้องสร้างบ้านทันที โดยไม่สามารถรอให้ดินเซ็ตตัวได้ ก็ใช้วิธี ตอกเสาเข็มลึก หรือ เสาเข็มเจาะ ลงไปในชั้นดินแข็งด้านล่าง เพื่อให้ฐานรากอยู่บนชั้นดินที่แน่นแล้ว
  • แบบนี้จะช่วยให้บ้านไม่ทรุด แต่พื้นที่รอบบ้าน (ทางเดินหรือโรงรถ) อาจยังทรุดตัวได้ถ้าไม่ได้ลงเข็มลึกเท่าตัวบ้าน

Checklist ก่อนตัดสินใจถมดิน

ตรวจสอบสภาพพื้นที่

  • เคยเป็นบ่อหรือไม่
  • ระดับน้ำใต้ดินเป็นอย่างไร
  • มีประวัติน้ำท่วมไหม

เลือกชนิดดินและวิธีการถม

  • ดินลูกรัง, ทราย, ดินผสม ฯลฯ
  • บดอัดทีละชั้นหรือเปล่า

วางแผนเวลารอให้ดินเซ็ตตัว

  • ถมสูง 50 ซม. – 1 เมตร: 6 เดือนถึง 1 ปี
  • ถมสูงเกิน 1 เมตร: อาจต้อง 1 ปีขึ้นไป
  • ดินอ่อนมาก: 1-2 ปี หรือต้องใช้เทคนิคเสริม

งบประมาณและผู้รับเหมา

  • ตั้งงบคร่าว ๆ เผื่อค่าเทคโนโลยีหรือเทคนิคพิเศษ ถ้าพื้นที่เสี่ยง
  • ผู้รับเหมามีผลงานที่เชื่อถือได้หรือไม่

ประเมินการเสริมฐานรากและโครงสร้าง

  • ถ้าพื้นที่เสี่ยงมาก อาจต้องตอกเข็ม หรือทำ Preloading / PVD
  • ขอคำปรึกษาจากวิศวกรเสมอ

สรุปส่งท้าย ถมดินกี่ปีถึงสร้างบ้านได้ ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

มาถึงช่วงท้ายของบทความแล้ว หวังว่าทุกคนจะเห็นภาพและได้คำตอบว่า “ถมดินกี่ปีถึงสร้างบ้านได้?” ซึ่งสรุปสั้น ๆ ก็ต้องตอบว่า “ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ ชนิดดิน ความสูงที่ถม และวิธีการถม” หากเป็นพื้นที่ทั่วไป ถมไม่สูงมาก บดอัดดี ๆ รอแค่ 6 เดือน ก็สร้างบ้านได้ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ดินอ่อน หรือต้องถมสูงเกิน 2 เมตร อาจต้องรอ 1-2 ปี หรือใช้เทคนิคพิเศษเข้ามาช่วย

ในฐานะที่เรา รับถมที่ดินราคาถูกที่สุด.com อยู่ในแวดวงนี้มานาน เราเข้าใจดีว่าการสร้างบ้านเป็นเรื่องที่ต้องการความมั่นคงถาวร ยิ่งลงทุนครั้งใหญ่แล้ว ก็ไม่อยากพบปัญหาภายหลัง ดังนั้น การรอให้ดินเซ็ตตัวอย่างเหมาะสม (ตามคำแนะนำวิศวกรและประสบการณ์จริง) จึงคุ้มค่ากว่ารีบสร้างจนต้องมาซ่อมทีหลัง ที่สำคัญ ต้องเลือกผู้รับเหมาที่น่าเชื่อถือ มีเครื่องมือพร้อม และสื่อสารกันอย่างเปิดเผย เพื่อให้ได้งานถมดินและฐานรากที่แข็งแรง